“เสรีภาพบนมาตรฐานสื่อสารมวลชน”
นักศึกษาปริญญาเอก คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รุ่น 5
วันที่ 3 ตุลาคม 2556
สื่อวิทยุกระจายเสียงและสื่อวิทยุโทรทัศน์
เป็นศูนย์กลางการสื่อสารขึ้นพื้นฐานของประเทศ
ที่ใช้เพื่อถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารที่สำคัญ และเพื่อความบันเทิงให้กับประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้
ในส่วนของกระบวนการผลิตและกระบวนการสื่อสารผ่านสื่อหลักเหล่านี้
จึงควรที่จะมีมาตรฐานสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเบี่ยงเบนข้อมูล
หรือความเข้าใจผิดของผู้รับสาร ที่เกิดจากคุณภาพไม่ได้มาตรฐานของผู้ส่งสารระดับประเทศ
นั่นคือผู้ปฏิบัติการสื่อหรือสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อยู่ในสื่อวิทยุกระจายเสียงและสื่อวิทยุโทรทัศน์รวมถึงสื่อใหม่ชนิดอื่นๆด้วย
สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อที่มีความสำคัญและมีบทบาทมากกว่าสื่อใด
ๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากโทรทัศน์สามารถสร้างผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมได้ชัดเจนและมีอิทธิพลมากกว่าสื่อชนิดอื่น สังเกตได้จากการเติบโตของช่องรายการ และการขยายตัวของกระบวนการผลิตรายการรูปแบบต่างๆที่มีการนำเสนอหลากหลาย
การขายโฆษณาทางโทรทัศน์ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อหลักที่เข้าถึงผู้รับสารได้ง่าย
แม้ในพื้นที่ห่างไกล ก็สามารถสื่อสารได้เนื้อหาความเข้าใจชัดเจนเหมือนจริง มีทั้งภาพ
และเสียง สามารถนำเสนอและโน้มน้าวใจได้ชัดเจนมากกว่าด้วยกลวิธีต่างๆ Thomas Lindlof
กล่าวไว้ว่า มีองค์ประกอบการรับรู้ของผู้รับสารจากรายการโทรทัศน์ที่สามารถแบ่งได้เป็นสามหมวดหลักคือ
เนื้อหา(Content) การแปลความ(Interpretation) และ ปฏิกิริยาของสังคม (Social Action) ซึ่งทั้งสามส่วนนี้เป็นการถ่ายทอดความเข้าใจผ่านรายการโทรทัศน์
(Littlejohn & Foss : 346) หนึ่งในการโน้มน้าวใจของรายการทางโทรทัศน์ที่ได้ผลและเกิดปฏิกิริยาของสังคมได้ดีคือรายการต่างๆที่นำเสนอโดยใช้เฉพาะเสียงบรรยาย
หรือใช้ทั้งภาพและเสียงในรูปของพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการ ในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ปฎิบัติงานสื่อในลักษณะนี้
มีจำนวนมากและกำลังขยายตัวเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในขณะที่ยังคงไม่มีมาตรฐานกลางในการวางกรอบการดำเนินงานและบทบาทในฐานะสื่อมวลชนที่มีปฎิสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับผู้รับสาร
ซึ่งแท้จริงแล้วกระบวนการสื่อสารเป็ฯกระบวนการที่ต่อเนื่อง ไม่ได้สิ้นสุด
รวมทั้งยังมีปฏิกิริยาป้อนกลับของผู้รับสารไปยังผู้ส่งสารอีกด้วย (ภัสวลี
นิติเกษตรสุนทร : 155) การสอบใบผู้ประกาศจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติการสื่อเหล่านี้เป็นผู้ส่งสารที่มีมาตรฐานร่วมกันที่ชัดเจนและเพิ่มพูนทักษะในการทำงานให้มากขึ้น
สอดคล้องกับนโยบายสื่อสาธารณะของรัฐ
ผู้ปฏิบัติการสื่อ ถือเป็นกลไกสำคัญของสื่อมวลชนที่ส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของสังคมอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสื่อมวลชนมีขอบเขตความรับผิดชอบที่กว้างขวางเท่าที่สื่อจะแพร่กระจายไปได้
จึงมีอิทธิพลมหาศาลต่อสังคมผู้รับสาร
ซึ่งส่งผลกระทบชัดเจนและรวดเร็วทั้งในด้านความเชื่อ ทัศนคติ
และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้รับสาร ดังนั้นการสื่อสารของกลุ่มผู้ปฏิบัติการสื่อในหน้าที่ของผู้ประกาศหรือผู้ดำเนินรายการ
มีบทบาทสำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อระบบสังคมไทย
หน่วยงานของรัฐจึงต้องมีการเฝ้าระวังและควบคุมในส่วนที่ให้อาจก่อให้เกิดโทษของการสื่อสาร และการปกป้อง
และกำกับดูแลส่วนที่เป็นคุณประโยชน์ของการสื่อสาร การออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกาศจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการควบคุมและการกำกับดูแลมาตรฐานของผู้ปฎิบัติการสื่อ
ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและชัดเจน ที่จะทำให้สังคมพัฒนาไปควบคู่กับการพัฒนาของการสื่อสารมวลชนด้วย
ใบอนุญาตเป็นผู้ประกาศ มิได้เป็นเพียงหลักฐานเดียวที่สามารถทำงานสื่อสารมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากแต่เป็นเครื่องหมายแสดงศักยภาพและความสามารถพิเศษเชิงวิชาชีพสื่อได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ต่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของมาตรฐานในวิชาชีพ เพื่อบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับทักษะในด้านต่างๆตนเองให้มีความสามารถเพียงพอ
ไปพร้อมกับจริยธรรมวิชาชีพที่ผู้ปฏิบัติงานในฐานะสื่อมวลชนพึงมี การฝึกอบรม และการสอบใบผู้ประกาศเป็นเพียงการคัดกรองขั้นแรกเพื่อวัดความสามารถในการสื่อสารระดับมหภาค
ที่จำเป็นต้องใช้ทักษะและการฝึกฝนร่วมกับพรสวรรค์ของกลุ่มผู้ปฏิบัติงานสื่อเฉพาะด้าน
โดยมีการอบรมระดับต้น กลาง และปลาย และหัวข้อหลักในการสอบใบอนุญาตเป็นผู้ประกาศคือ
ต้องมีความรู้ทั่วไปด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทักษะการจัดรายการ
จริยธรรมวิชาชีพสื่อ และมาตรฐานการใช้ภาษาไทย ผู้ที่ไม่สามารถอ่านออกเสียงได้ชัดเจน ถูกต้อง
หรือมีคุณสมบัติยังไม่ถึงต่อข้อกำหนดดังกล่าวในการสอบ ถือว่ายังไม่มีทักษะและคุณสมบัติเพียงพอสำหรับหน้าที่นี้
เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรฐานของผู้ประกาศหรือผู้ดำเนินรายการ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิจารณญาณในการปรุงแต่งคำพูด คัดเลือก ข่าวสารข้อมูล
เตรียมการก่อนการผลิต ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะ (พีระ จิรโสภณ : 163) ดังนั้นบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำหน้าที่นี้
ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูหรือผู้รักษาประตูข่าวสาร ที่เรียกว่า Gatekeeper
โดยกลั่นกรองข้อมูลและส่งผ่านถ่ายทอดข้อมูลนั้นออกไป
และช่วยกระจายความคิดเห็นในเรื่องนั้นๆด้วย (Baran & Davis : 169)
ดังนั้นผู้รักษาประตูข่าวสารหรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศ พิธีกร
ผู้ดำเนินรายการ หรือลักษณะอื่นๆที่ทำหน้าที่เช่นเดียวกันนี้ ทมีหน้าที่หลักในการสื่อสารไปยังประชาชนทั้งประเทศผ่านสื่อหลัก
จึงไม่ควรมีคุณสมบัติและทักษะตามข้อกำหนดของรัฐต่ำกว่ามาตรฐาน
ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าที่ผิดๆสำหรับผู้รับสารจำนวนมหาศาลได้ ในกรณีที่ผู้ชมผู้ฟังที่อาจไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข้อบกพร่องในการสื่อสารของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร
หรือเยาวชนที่อาจจดจำตัวอย่างที่ผิดๆไปใช้ต่อ
ในประเด็นของการถูกกีดกันจำกัดสิทธิ์
สำหรับนักสื่อสารมวลชนที่ไม่ต้องการสอบใบผู้ประกาศ
แต่ต้องการทำงานในฐานะผู้ประกาศหรือผู้ดำเนินรายการ กฏเกณฑ์ของการสอบใบผู้ประกาศดังกล่าวนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใดก็ตาม
วัตถุประสงค์หลักสำหรับการสอบใบผู้ประกาศ คือการรับรองสิทธ์จากหน่วยงานของรัฐ ว่าเป็นผู้ประกาศที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและทำงานสื่อสารมวลชนได้ตามมาตรฐาน
ผ่านการตรวจสอบ และทดสอบศักยภาพแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรมสำหรับการจัดสอบเพื่อควบคุมคุณภาพ
เพื่อจำกัดเฉพาะบุคคลเท่านั้น
โดยมีการตรวจสอบลักษณะเฉพาะของบุคคลที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชน (Littlejohn & Foss : 82) ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถถึงระดับที่กำหนดไว้เท่านั้น
จึงจะประกอบอาชีพสื่อมวลชนในหน้าที่เฉพาะทางเช่นนี้ได้
เช่นเดียวกับตำแหน่งหน้าที่การงานเฉพาะทางที่จำเป็นต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถสูงเฉพาะในด้านนั้นๆเท่านั้น
เพื่อสามารถทำงานให้ลุล่วงไปด้วยดีได้เช่น วิสัญญีแพทย์ ผู้ตรวจสอบบัญชี
หรือเจ้าหน้าที่ดูแลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การทดสอบวัดทักษะและข้อกำหนดต่างๆของกฏเกณฑ์การสอบใบผู้ประกาศที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษามาตรฐานการสื่อสารมวลชนของประเทศไทย
เนื่องจากสภาวะสังคมใหม่หรือสังคมมวลชน
สื่อมวลชนจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผูกมัดเชื่อมโยงสังคมแบบตัวใครตัวมัน
สื่อมวลชนได้กลายเป็นพึ่งทางใจ
ทำให้สื่อมวลชนสามารถโน้มน้าวใจสมาชิกในสังคมมวลชนได้ง่าย (พีระ จิรโสภณ : 159) ดังนั้นการมีมาตรฐานสำหรับวิชาชีพผู้ประกาศหรือผู้ดำเนินรายการ
จึงควรยึดถือไว้เพื่อคัดกรองมาตรฐานวิชาชีพและบุคลิกภาพ ก่อนที่นักสื่อสารมวลชนจะใช้ความเป็นเสรีภาพทางการสื่อสารมวลชนอย่างไร้ขอบเขตและมีมาตรฐานต่ำลง
เมื่อไม่จำเป็นต้องมีการสอบใบผู้ประกาศ และกำหนดคุณสมบัติอื่นๆในการทำงาน ดังนั้น
ตามทฤษฎีสื่อเพื่อการพัฒนา (Development media Theory) จึงควรมีการแทรกแซงของรัฐเพื่อควบคุมการทำงานบางส่วนของกลไกสื่อมวลชน
(Baran & Davis : 149) ในบทบาทหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานสื่อ
เช่นการออกกฏข้อบังคับต่างๆในการสอบใบผู้ประกาศ เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ
ปัจจุบันนี้
ยังคงมีการสอบและต่อใบอนุญาตใบผู้ประกาศได้ภายใต้การรับรองของกรมประชาสัมพันธ์ อย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้างออกไปตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
เรื่อง การอบรมและทดสอบเพื่อรับบัตรผู้ประกาศในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
พ.ศ. 2556 ลงในราชกิจนุเบกษาเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจและเข้าร่วมอบรมเพื่อสอบใบผู้ประกาศเพิ่มมากขึ้น
ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการข้อบังคับ
และเงื่อนไขต่างๆได้ที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2556/E/015/51.PDF แต่ข้อบังคับในการไม่มีใบผู้ประกาศ ยังไม่มีบทลงโทษหรือตักเตือนชัดเจน
เนื่องจากอาจเกิดความขัดแย้งในเรื่องละเอียดอ่อนได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะสื่อมวลชนที่มีปฎิสัมพันธ์กับสังคมโดยตรงก็ไม่สามารถปฏิเสธบทบาทนี้ได้
ซึ่งสอดคล้องตามทฤษฎี Social Responsibility Theory ในด้านเสรีภาพของสื่อมวลชนและกฎจรรยาบรรณของผู้ปฎิบัติงานสื่อมวลชน
นอกเหนือจากมาตรฐานในการทำงานที่ยืนยันถึงทักษะวิชาชีพแล้ว การสำนึกในหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่รับใช้สังคมอย่างไม่เลือกข้าง
ซึ่งควรจะเป็นอุดมการณ์หลักของบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลาย (Baran & Davis : 120)
ในขั้นตอนการลงมือปฏิบัติจริง
หน่วยงานของรัฐได้เริ่มต้นด้วยการขอความร่วมมือในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้กับการสื่อสารของประเทศ ภาครัฐควรต้องขยายการอบรมก่อนการสอบใบผู้ประกาศให้ทั่วถึงและสะดวก
ให้คำแนะนำในการฝึกฝน ชี้ให้เห้นคุณค่าของการเป็นนักสื่อสารมืออาชีพที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
และให้เห็นความสำคัญในฐานะเป็นผู้กลั่นกรองข้อมูลสู่ประชาชนทั้งประเทศ
ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงควบคู่ไปกับเสรีภาพของสื่อมวลชน เพิ่มจำนวนรอบและขยายพื้นที่ในการดำเนินการสอบให้ครอบคลุมความต้องการให้มากขึ้น
โดยเน้นย้ำนโยบายการเชิญชวนเพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติการสื่อเอง
มากกว่าการบังคับด้วยกฏข้อห้ามและบทลงโทษ
ช่วงเวลาระหว่างการขยายและให้ความรู้ควรทิ้งระยะเวลานานในการปรับตัวและเตรียมตัวสำหรับการสอบ
เมื่อมีผู้สนใจสอบใบผู้ประกาศมากขึ้น มาตรฐานของสื่อมวลชนในด้านการเป็นผู้ประกาศข่าวหรือผู้ดำเนินรายการก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
และต้องเน้นที่การโน้มน้าวให้ผู้ปฎิบัติการสื่อเข้าใจและร่วมมือโดยสมัครใจ
การตั้งเงื่อนไขในการทำงานการสื่อสารมวลชน
ว่ามีความจำเป็นต้องได้ใบอนุญาตเพื่อเป็นผู้ประกาศหรือผู้ดำเนินรายการเท่านั้น
จึงจะได้รับอนุญาตในการทำงานประเภทนี้ได้ อาจต้องเป็นขั้นตอนต่อไปที่ต้องระมัดระวัง
ควรทิ้งระยะเวลาให้นานพอสมควร
และมีอัตราการเติบโตของผู้ที่สอบได้สูงขึ้นอย่างชัดเจน
ในจำนวนเหมาะสมและทำงานได้จริง หลังจากที่การขยายการฝึกอบรมและอธิบายให้เห้นถึงคุณค่าของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
โดยมีกำหนดเวลาแจ้งไว้ชัดเจน ระหว่างนี้ช่วงเวลาก่อนการมีข้อบังคับนี้
การดำเนินงานสื่อสารมวลชนก็สามารถดำเนินต่อไปตามปกติ โดยการมีใบผู้ประกาศอาจช่วยทำให้สื่อมวลชนในรายการดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับความสามารถให้ชัดเจน
แต่ถ้ายังไม่มีก็ยังสามารถทำงานได้เช่นกัน จนกว่าผู้ปฏิบัติงานสื่อจะเปลี่ยนความคิดในการมองการทำงานสื่อ
ว่าผู้ที่ไม่มีใบผู้ประกาศได้ ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ก็จะไม่มีหลักฐานใดๆแสดงตัวต่อสังคม
ว่าเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพทัดเทียมผู้ที่ได้ใบผู้ประกาศ นอกจากผลงานหรือชื่อเสียงต่างๆที่เคยทำมาเท่านั้น
สิ่งนี้กลับจะเป็นผลเสียให้กับตัวเอง ที่ไม่สามารถยืนยันต่อสังคมได้ตลอดเวลา ถึงความสามารถและมาตรฐานของตนที่ถูกวัดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารโดยตรง
และทำให้ไม่สามารถช่วยพัฒนาสังคมสื่อมวลชนให้อยู่ในระดับทัดเทียมกับต่างประเทศได้
ในอนาคต
การสื่อสารมวลชนของประเทศไทย ควรอยู่ในขอบเขตเสรีภาพที่พอเหมาะ
ไม่ทำลายส่วนประกอบอื่นในสังคมโดยรวม และควรเคารพจริยธรรมสื่อสารมวลชน เพื่อเดินไปในทิศทางเดียวกันเพื่อพัฒนาวงการสื่อสารมวลชนของชาติให้ก้าวสู่สังคมอาเซียนได้อย่างไม่ติดขัด
เช่นเดียวกับทฤษฎีอิสรภาพนิยมหรือสื่อเสรี (Libertarian of
Free Press Theory) ที่ยอมรับในปรัชญาเชิงเหตุผลนิยมและสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์
ซึ่งสื่อมวลชนจะทำหน้าที่เป็นผู้แสวงหาและเสนอสัจธรรมแก่ประชาชน การควบคุมจะเป็นไปในลักษณะการพิสูจน์ตนเองโดยสื่อมวลชน
ภายใต้บรรยากาศของตลาดเสรีแห่งความคิด (Free Market Place of Ideas) ข้อห้ามของสื่อมวลชนตามทฤษฎีนี้คือ
การหมิ่นประมาท การเสนอสิ่งลามกอนาจารและการยุยงให้เกิดความไม่สงบในระหว่างสงคราม
เป็นต้น (พีระ จิรโสภณ : 149) ซึ่งก็เป็นมาตรฐานสากลของการสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว
เมื่อประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในไม่ช้านี้
หมายถึงการเข้าสู่การแข่งขันแบบเสรีในทุกมิติ
การแข่งขันที่มีแรงกดดันสูงจากหลายปัจจัย เมื่อถึงเวลานั้น สภาพแวดล้อมโดยรวมจะเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อการสื่อสารมวลชนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากการสื่อสารสอดแทรกอยู่ในทุกบริบทของสังคม นวัตกรรมช่องทางการสื่อสารจะขยายตัวอย่างรวดเร็วกว่าเดิม
เช่น ดิจิตอลทีวี ไอพีทีวี โทรทัศน์ดาวเทียม และการแพร่ภาพกระจายเสียงในลักษณะอื่นๆ
เงื่อนไขสำหรับการเป็นผู้ประกาศหรือดำเนินรายการในอนาคต
อาจต้องมีข้อกำหนดเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้มีมาตรฐานสากลที่สูงขึ้น และพัฒนามากขึ้นในทุกช่องทาง
ทุกพื้นที่ มีความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาทักษะวิชาชีพได้รอบด้านมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านวัฒนธรรมการสื่อสาร
ภาษาที่ใช้ เสรีภาพในการนำเสนอที่อยู่ในขอบเขตของความรับผิดชอบต่อสังคม
ต้องมีมากขึ้นและทำงานด้วยความรอบคอบมากขึ้น เพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล
มีศักยภาพในการแข่งขันได้ในระดับภาคพื้นเอเชีย ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องของบทบาทของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านต่างๆ
ได้ที่ http://www.thai-aec.com/41
จากประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด
เห็นได้ว่าสื่อมวลชนไทยในยุคปัจจุบัน กำลังถูกรุมล้อมด้วยแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก
อีกทั้งยังจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ สื่อมวลชนไม่ว่าในส่วนท้องถิ่นหรือส่วนกลาง
ควรหันกลับมาพิจารณาบทบาทตัวเองในแบบมหภาคให้ชัดเจนอีกครั้ง พิจารณาจุดยืนในฐานะนักสื่อสารมวลชนที่มีหน้าที่จรรโลงสังคมไทย
ทบทวนข้อผิดพลาด ผลประโยชน์ทางธุรกิจและการละเมิดจริยธรรมวิชาชีพ ทั้งในอดีต
ปัจจุบัน และมองถึงเป้าหมายที่ต้องการในอนาคตด้วย
เมื่อมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามากดดันการสื่อสารมวลชนของไทย
ใบผู้ประกาศอาจเป็นตัวอย่างเล็กๆที่สะท้อนได้ถึงปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่
และอาจเกิดขึ้นในเงื่อนไขเดียวกันคือ ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างมาตรฐานสื่อสารมวลชนไทยและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ซึ่งทฤษฎีต่างๆภายใต้ร่มเงาของ Normative
Theory ที่เป็นบรรทัดฐานของสังคม อาจช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในบางจุด
และทำให้การตัดสินใจหาข้อสรุปที่ลงตัวง่ายขึ้น ในการพัฒนายกระดับสื่อมวลชนไทยที่มีทั้งคุณภาพในการทำงานแบบมาตรฐานสูงระดับสากล และมีเสรีภาพทางความคิดที่พอเหมาะพอดี ดำเนินไปพร้อมจริยธรรมสื่อภายใต้การกำกับดูแลมาตรฐานโดยหน่วยงานของรัฐ
ที่มีบรรทัดฐานอันสมบูรณ์ต่อไปในอนาคต
บรรณานุกรม
หนังสือ
กาญจนา แก้วเทพ. (2545). สื่อสารมวลชน:
ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา. คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : บริษัท โรงพิมพ์ศาลาแดง จำกัด.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
(2533) ประมวลสาระวิชาชุดปรัชญานิเทศศาสตร์และทฤษฎีการสื่อสาร (หน่วย 1-7) นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
(2533) ประมวลสาระวิชาชุดปรัชญานิเทศศาสตร์และทฤษฎีการสื่อสาร (หน่วย
8-15) นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
Baren, S.J.
& Davis, D.K. (2012) Mass Communication Theory: Foundations, Ferment and
Future. (6th edition), Boston. MA : Wadsworth Cengage Learning.
Littlejohn,
S. & Foss, K. (2011). Theories of Human Communication. (10th
edition). Long Grove, IL: Waveland Press.
สื่อออนไลน์
ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร. [ออนไลน์]. http://e-book.ram.edu/e-book/m/mc111/mc111_08_04.html เข้าถึงเมื่อ
วันที่ 28 กันยายน 2556
วันที่ 28 กันยายน 2556
ทฤษฎีเสรีนิยมหรืออิสรภาพนิยม.
[ออนไลน์]. http://e-book.ram.edu/e-book/m/mc111/mc111_09_03.html เข้าถึงเมื่อ
วันที่ 28 กันยายน 2556
ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม. [ออนไลน์]. http://www.oknation.net/blog/boonyou/2009/09/09/entry-1 เข้าถึงเมื่อ
วันที่ 28 กันยายน 2556
ทฤษฎีลักษณะนิสัยของบุคลิกภาพ.
[ออนไลน์]. http://pathanar.blogspot.com/2010/07/trait-theory-of-personality.html
เข้าถึงเมื่อวันที่
28 กันยายน 2556
ได้ความรู้ขึ้นเยอะเลย ขอบคุณครับ
ReplyDeleteเป็นประโยขน์มากๆ นานๆจะมีคนเขียนให้เข้าใจง่ายๆแบบนี้ซักที่ ขออนุญาตนำไปแชร์ต่อนะคับ
ReplyDeleteมีประโยชน์มากเลยครับ
ReplyDeleteขออนุญาตแชร์บทความนี้นะครับ